ชื่อเรื่อง การประเมินหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี พ.ศ. 2566
ผู้วิจัย นางปาณิสรา รองเมือง
ปีการศึกษา 2566
วันที่เผยแพร่ 4 สิงหาคม 2568
บทคัดย่อ
บทคัดย่อ
การประเมินครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ ๑) เพื่อประเมินหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะโรงเรียน
ตระกาศประชาสามัคคี พ.ศ. ๒๕๖๖๖ ๒) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษาฐานสมรรถนะ โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี พ.ศ. ๒๕๖๖๖ โดยใช้เทคนิคการประเมินแบบ
CIPPIEST Model ตามแนวคิดของ Stufflebeam and Shinkfeld (๒๐๐๗) ประกอบด้วยการประเมินใน
๘ ด้าน คือ ด้านสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) ด้านปัจจัยนำเข้า (Input Evaluation) ด้าน
กระบวนการ (Process Evaluation) ด้านผลผลิต (Product Evaluation) ด้านผลกระทบ (Impact
Evaluation) ด้านประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ด้านความยั่งยืน (Sustainability Evaluation)
และด้านการถ่ายทอดส่งต่อ (Transportability Evaluation) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลใน
ประเมินครั้งนี้ ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นพื้นฐาน
จำนวน ๔๐ คน กลุ่มที่ ๒ นักเรียนโรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี จำนวน ๑๘๗ คน ได้มาโดยการสุ่มแบบ
แบ่งชั้นภูมิ (Stratfied Randorn Sampling) กลุ่มที่ ๓ กลุ่มเป้าหมาย สำหรับการเก็บข้อมูลโดยการสนทนา
กลุ่ม (Focus group) ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) จำนวน ๑๕ คน ซึ่งกำหนดขนาด
ของกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของทาโร ยามาเน (Yaกnลกe) ระยะเวลาที่ใช้ในการประเมิน คือ ปีการศึกษา
๒๕๖๖ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี ๔ ฉบับ คือ
ฉบับที่ ๑ แบบสอบถามความคิดเห็นผู้บริหาร ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานใช้สอบถามย่อย
๘ ด้าน คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้าด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต ด้านผลกระทบ ด้านประสิทธิผล ด้าน
ความยั่งยืน และด้านการถ่ายทอดส่งต่อ จำนวน ๔๕ ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง ๐.๒๓ - ๐.๘๖ ๘๖ และ
มีคำความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ ๐.๙.๙๖ ฉบับที่ ๒ แบบ สอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่ได้รับการจัดการ
เรียนรู้ตามหลักสูตร จำนวน ๒๐ ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง ๑.๒๕ - ๐.๘๒ และมีค่าความเชื่อมั่นทั้ง
ฉบับเท่ากับ .๙๕ และฉบับที่ ๓ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม (Focus group Discussion) สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation)
ผลการวิจัยพบว่า
๑. ผลการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี พ.ศ. ๒๕๖๖๖๖
โดยใช้เทคนิคการประเมินแบบ CIPPIEST Model โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x = ๔.๖๕, 5.D.=๖ ๖)
ข้อที่มีระดับคุณภาพมากที่สุด ๓ ลำดับแรก คือ ด้านผลผลผลิต (P: Product) อยู่ในระดับมากที่สุด ( x = ๔.๖๗,
นอกจากนี้ในด้านการถ่ายทอดส่งต่อยังพบข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูภายใน
โรงเรียน และการเผยแพร่แนวทางปฏิบัติที่สุโรงเรียนเครือข่ายยังไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร ส่วนในด้าน
ผลกระทบการติดตามและประเมินผลระยะยาวของหลักสูตรต่อพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียน
ยังไม่เป็นระบบ และขาดการวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง
จากผลการวิจัยดังกล่าว สามารถสังเคราะห์ข้อเสนอแนะที่สำคัญเพื่อการพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษาฐานสมรรถนะ ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพครูอย่างต่อเนื่องในเรื่องการจัดการเรียนรู้
ฐานสมรรถนะ การวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดสมรรถนะ การจัดทำและใช้ฐานข้อมูลแหล่ง
เรียนรู้ในชุมชนเพื่อบูรณาการเข้ากับหน่วยการเรียนรู้ การบริหารการเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistc
Learning) การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-Based Learning) รวมถึงการ
จัดตั้งชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เพื่อสร้างเวทีแลกเปลี่ยน
เรียนรู้ระหว่างครู ตลอดจนการพัฒนาระบบติดตาม ประเมินผล และการถ่ายทอดความรู้ให้สามารถนำไปใช้
ในวงกว้างได้อย่างยั่งยืน
กล่าวโดยสรุป การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะในบริบทของโรงเรียนตระกาศประชา
สามัคคีควรดำเนินไปอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติของกระบวนการเรียนรู้ โดยอาศัยความร่วมมือ
ระหว่างครู ผู้บริหาร ชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้หลักสูตรสามารถเสริมสร้างสมรรถนะที่
จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้เรียนในศตตรรรรษที่ ๒๑ ได้อย่างแท้จริง