ชื่อเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง ‘ทุจริตใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม’ โดยใช้รูปแบบการ เรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL) สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕
ผู้วิจัย นางสาววรรณรัตน์ แก้วเกษเกี้ยง
ปีการศึกษา 2568
วันที่เผยแพร่ 12 สิงหาคม 2568
บทคัดย่อ
ในยุคปัจจุบัน
ปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบในทุกระดับของสังคม ทั้งในระดับบุคคล
ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency
International หรือ TI) เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต
(Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี ๒๕๖๗ โดยจากจำนวนประเทศ ๑๘๐ ประเทศทั่วโลกนั้นประเทศไทย ได้ ๓๔ คะแนน
จัดอยู่ในอันดับที่ ๑๐๗ ของโลก ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรม
ขาดความโปร่งใส และบั่นทอนศีลธรรมจริยธรรมในสังคมโดยรวม
การแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องเริ่มจากการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีและทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่เด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
เพื่อให้เติบโตเป็นพลเมืองดี มีคุณธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
โดยเฉพาะในวัยประถมศึกษา
ซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ด้านคุณธรรมพื้นฐาน
เด็กสามารถซึมซับพฤติกรรมและค่านิยมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่าย การนำเสนอเรื่อง
“ทุจริตใกล้ตัว” จึงควรใช้บริบทที่นักเรียนพบเจอได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่น
การลอกการบ้าน ขโมยของเพื่อน แอบใช้ของส่วนรวมโดยไม่รับผิดชอบ
หรือการพูดไม่ตรงความจริง เป็นต้น
ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้ว่าการทุจริตมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในระดับประเทศหรือหน่วยงานราชการ
แต่สามารถพบได้ในระดับโรงเรียนและในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
(Problem-Based
Learning: PBL) เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการคิดวิเคราะห์
หาทางแก้ไขปัญหา ฝึกทักษะการตัดสินใจ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ผ่านสถานการณ์ที่เป็นปัญหาใกล้ตัว
ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายและสามารถเชื่อมโยงสู่การใช้ชีวิตจริง
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง “ทุจริตใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม” สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านความซื่อสัตย์สุจริตและการต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ เสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อคุณธรรมจริยธรรม และสร้างทักษะชีวิตให้กับผู้เรียนอย่างรอบด้าน ตั้งแต่เยาวชน โดยเฉพาะในระดับโรงเรียนที่เป็นรากฐานของการพัฒนาคนในสังคม กิจกรรม “เข้าใจการทุจริต เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม” จึงจัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และตระหนักถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายการทุจริตในชีวิตประจำวัน ผ่านการอภิปราย กิจกรรมกลุ่ม และสื่อสร้างสรรค์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึก ความกล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมเป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมไทยที่โปร่งใสและเป็นธรรม
จุดประสงค์
๑. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการทุจริตที่พบได้ในชีวิตประจำวัน
และตระหนักถึงผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว
๒. เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์
การทำงานเป็นกลุ่ม และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก
๓. เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม
และค่านิยมที่ดีงามด้านความซื่อสัตย์สุจริตให้แก่นักเรียน
๒.๒
เป้าหมายของการดำเนินงาน
กลุ่มเป้าหมาย
นักเรียนโรงเรียนบ้านเหล่าหมากคำ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๑๕ คน
ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘
เชิงปริมาณ
๑. นักเรียนร้อยละ ๗๐ มีคะแนนความรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
๒. นักเรียนร้อยละ ๗๐ มีพฤติกรรมและเจตคติด้านความซื่อสัตย์สุจริตในระดับดี
๓. นักเรียนร้อยละ ๑๐๐ เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดในรูปแบบ PBL ได้อย่างมีส่วนร่วมและ
ผลิตชิ้นงาน/ผลงานกลุ่ม (กระดานความคิดเห็น)
เชิงคุณภาพ
๑. นักเรียนมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ลักษณะ และผลกระทบของการทุจริตที่พบ
ในชีวิตประจำวัน
๒. นักเรียนสามารถวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่ายการทุจริต
และเสนอแนวทาง
ป้องกันหรือแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
๓. นักเรียนแสดงออกถึงพฤติกรรมที่สะท้อนถึงคุณธรรมจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์สุจริต
เช่น
ไม่ลอกการบ้าน ไม่พูดโกหก
ไม่เอาของของผู้อื่น
๔. นักเรียนมีเจตคติที่ดีและตระหนักรู้ต่อการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการทุจริต
ทั้งในโรงเรียนและ
ในชีวิตประจำวัน
ผลการดำเนินการ/ผลสัมฤทธิ์/ประโยชน์ที่ได้รับ
-
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต เรื่อง
ทุจริตใกล้ตัวที่ไม่
ควรมองข้าม คิดเป็นร้อยละ
๗๐
-
นักเรียนมีการยอมรับข้อสรุปในผลงานของกลุ่มมากที่สุด ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีภาวการณ์เป็นผู้นำ
และผู้ตามที่ดีและยอมรับเสียงส่วนใหญ่ยอมรับข้อสรุปในผลงานของกลุ่ม
ส่วนการร่วมกันวางแผนการทำงานมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด
เนื่องจากการทำงานกลุ่มนักเรียนบางส่วนยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร สรุปได้ว่านักเรียนทุกคน
(ร้อยละ ๑๐๐) ได้คะแนน ในระดับคุณภาพดีขึ้นไป ถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมิน
-
นักเรียนทุกคน
(ร้อยละ ๑๐๐) ได้คะแนนประเมินด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับคุณภาพ
พอใช้ขึ้นไป
ถือว่าผ่านเกณฑ์การประเมินด้านคุณลักษณะ (A)
นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คือ มุ่งมั่นในการทำงาน มีวินัย
รับผิดชอบใฝ่เรียนรู้