ชื่อเรื่อง วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทย เพื่อส่งเสริมความภาคภูมิใจในชาติ ของนักเรียนโรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยา
ผู้วิจัย วชิระ ชาวเหนือ
ปีการศึกษา 2567
วันที่เผยแพร่ 22 กรกฎาคม 2567
บทคัดย่อ
วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทย
เพื่อส่งเสริมความภาคภูมิใจในชาติ ของนักเรียนโรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)
พัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทยที่ส่งเสริมความภาคภูมิใจในชาติ 2)
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ไทยของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้
และ 3) ศึกษาระดับความภาคภูมิใจในชาติของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้
กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6โรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยา จำนวน 30 คน
ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย
แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และแบบวัดความภาคภูมิใจในชาติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า
การจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 82.67/83.33 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีระดับความภาคภูมิใจในชาติหลังการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับสูง (x̄ = 4.25, S.D. = 0.58) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.52, S.D. = 0.47)
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นสามารถส่งเสริมทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความภาคภูมิใจในชาติของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทยในระดับประถมศึกษาต่อไป
คำสำคัญ:
การจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย, ความภาคภูมิใจในชาติ,
นักเรียนประถมศึกษา
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ประวัติศาสตร์ไทยเป็นรากฐานสำคัญของความเป็นชาติและอัตลักษณ์ของคนไทย
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ช่วยให้เยาวชนเข้าใจความเป็นมาของชาติ
ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นไทย
อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันพบว่าการจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในระดับประถมศึกษายังประสบปัญหาหลายประการ
วิธีการสอนที่เน้นการท่องจำเนื้อหาและการบรรยาย
ทำให้นักเรียนขาดความสนใจและไม่เห็นความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์
ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ดังที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2563)
รายงานว่า
คะแนนเฉลี่ยวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศอยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง
การขาดการเชื่อมโยงเนื้อหาประวัติศาสตร์กับชีวิตประจำวันและสภาพแวดล้อมของผู้เรียน ทำให้นักเรียนไม่เห็นความสำคัญและคุณค่าของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ขาดความภาคภูมิใจในชาติและรากเหง้าของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ วรรณา จารุสมบูรณ์ (2562) ที่พบว่า นักเรียนประถมศึกษาส่วนใหญ่มีระดับความภาคภูมิใจในชาติอยู่ในระดับปานกลาง
การขาดสื่อและนวัตกรรมการเรียนการสอนที่น่าสนใจและเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
ทำให้การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ขาดความน่าสนใจและไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้
ดังที่ ทิศนา แขมมณี (2562) เสนอว่า
การใช้สื่อและนวัตกรรมที่หลากหลายจะช่วยกระตุ้นความสนใจและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากปัญหาดังกล่าว
โรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยาจึงเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทยที่สามารถส่งเสริมทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความภาคภูมิใจในชาติของนักเรียน
โดยมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน
และใช้สื่อที่น่าสนใจ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ
และความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย
อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติต่อไป
ด้วยเหตุนี้
ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทย
เพื่อส่งเสริมความภาคภูมิใจในชาติ ของนักเรียนโรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยา
โดยคาดหวังว่าผลการวิจัยจะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ
และสามารถปลูกฝังความภาคภูมิใจในชาติให้แก่เยาวชนไทยได้อย่างยั่งยืน
วัตถุประสงค์การวิจัย
1)
เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทยที่ส่งเสริมความภาคภูมิใจในชาติ
2)
เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ไทยของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้
3)
เพื่อศึกษาระดับความภาคภูมิใจในชาติของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้
ขอบเขตการวิจัย
-
ประชากร: นักเรียนโรงเรียนมหาไชยโคกกว้างวิทยา
- กลุ่มตัวอย่าง: นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 30 คน
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น:
การจัดการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทย
ตัวแปรตาม: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความภาคภูมิใจในชาติ
- ระยะเวลา: ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567
วิธีดำเนินการวิจัย
1)
ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2)
พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือวิจัย
3)
ทดสอบก่อนเรียน
4)
ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนที่พัฒนาขึ้น
5)
ทดสอบหลังเรียนและวัดระดับความภาคภูมิใจในชาติ
6)
วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
สรุปผลการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05 โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (x̄
= 18.67, S.D. = 2.45) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน (x̄
= 12.33, S.D. = 3.21)
ความภาคภูมิใจในชาติ
หลังการจัดการเรียนรู้
นักเรียนมีระดับความภาคภูมิใจในชาติอยู่ในระดับสูง (x̄
= 4.25, S.D. = 0.58) โดยมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
E1/E2 เท่ากับ 82.67/83.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (80/80)
ความพึงพอใจของนักเรียน
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด
(x̄
= 4.52, S.D. = 0.47) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้
(x̄ = 4.68, S.D. = 0.42)
พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน
จากการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้
พบว่านักเรียนมีความกระตือรือร้น มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้
และแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้น
ผลงานของนักเรียน
นักเรียนสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนความเข้าใจในประวัติศาสตร์ไทยและความภาคภูมิใจในชาติได้อย่างมีคุณภาพ
โดยมีคะแนนเฉลี่ยการประเมินผลงานอยู่ในระดับดี (x̄
= 4.15, S.D. = 0.62)
การสัมภาษณ์นักเรียน
ผลการสัมภาษณ์นักเรียนแสดงให้เห็นว่า
นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนประวัติศาสตร์ไทย เห็นคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม
และมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยมากขึ้น
อภิปรายผล
ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผลการวิจัยที่พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
อาจเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีลักษณะที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ใช้กิจกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล (Ausubel,
1968) ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของผู้เรียน
นอกจากนี้
การใช้สื่อและเทคโนโลยีที่ทันสมัยยังช่วยกระตุ้นความสนใจและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2562)
ที่พบว่าการใช้สื่อมัลติมีเดียช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประวัติศาสตร์ของนักเรียนประถมศึกษา
ด้านความภาคภูมิใจในชาติ
การที่นักเรียนมีระดับความภาคภูมิใจในชาติสูงขึ้น
อาจเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสร้างความตระหนักและเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ไทย
รวมถึงการเชื่อมโยงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กับชีวิตประจำวันของนักเรียน
ทำให้นักเรียนเห็นความสำคัญและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติ
สอดคล้องกับแนวคิดของ ทิศนา แขมมณี (2562) ที่กล่าวว่า
การสร้างความภาคภูมิใจในชาติต้องอาศัยการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และการมีส่วนร่วม
สรุปข้อเสนอแนะ
1)
ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับระดับชั้นอื่นๆ
2)
ควรมีการติดตามผลในระยะยาวเพื่อศึกษาความคงทนของความรู้และความภาคภูมิใจในชาติ
3)
ควรพัฒนาสื่อการเรียนรู้ดิจิทัลเพื่อเสริมประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ.
(2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ทิศนา
แขมมณี. (2562). ศาสตร์การสอน:
องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 23).
กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วินัย
พงศ์ศรีเพียร. (2563). การสอนประวัติศาสตร์ไทย: แนวคิดและวิธีการ. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุมาลี
วงษ์สุวรรณ. (2561).
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมจิตสำนึกความเป็นไทย.
วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 20(2),
100-113.