ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา
ผู้วิจัย นางสิริญา ริยะนา
ปีการศึกษา 2567
วันที่เผยแพร่ 9 กุมภาพันธ์ 2568
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา
ผู้วิจัย นางสิริญา ริยะนา
ปีการศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา เป็นการวิจัยแบบวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา 3) เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา 4) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 17 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) กิจกรรมโครงงาน และแผนการจัด การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติทีแบบไม่อิสระ (t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยสรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้
สรุปผลการวิจัย
2. ผลของการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา พบว่า จากการศึกษา หลักการ ทฤษฎี และข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องทำให้ได้รูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 องค์ประกอบ ได้แก่
1) องค์ประกอบด้านกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นฐาน 2)
วัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4)
แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 5) การวัดและประเมินผล
ซึ่งมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1
การเลือกหัวข้อเรื่องหรือกำหนดปัญหาที่จะศึกษา (Identification
of a Problem) ขั้นที่ 2 การศึกษาค้นคว้าข้อมูล ในการทำโครงงาน
(Study and research information) ขั้นที่ 3
การวางแผนดำเนินโครงงาน (Project Planning) ขั้นที่ 4
การดำเนินและพัฒนาโครงงาน (Implement and develop projects) ขั้นที่ 5 การสรุปผลและจัดทำรายงาน (Conclusion and preparation of a report) และขั้นที่ 6 การนำเสนอผลงานและประเมินผล (Presentation
and evaluation) โดยรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาได้รับการตรวจสอบ และประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ ว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
โดยได้ค่าความเหมาะสมมีค่าเฉลี่ย () ระหว่าง
4.40 – 5.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ระหว่าง 0.00 - 0.55 แสดงว่า
รูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม/สอดคล้องเชิงโครงสร้าง
สามารถนำไปทดลองใช้ได้
3. ผลของการใช้รูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา พบว่า เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยที่ตั้งไว้
ดังนี้
3.1 ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา ในปีการศึกษา 2565 กับกลุ่มทดลองแบบ 1:1
ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 65.21/63.33 ปีการศึกษา
2565 กับกลุ่มทดลองแบบ 1:10 ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2)
มีค่าเท่ากับ 74.26/72.25 และปีการศึกษา 2566 กับกลุ่มทดลองแบบ 1:100 ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 82.26/81.91จะเห็นได้ว่าหลังจากมีการปรับปรุง
และทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้ ค่าประสิทธิภาพจึงเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ 80/80 ตามที่ได้กำหนดไว้ และเมื่อนำรูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยาไปใช้กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 20 คน พบว่า ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) มีค่าเท่ากับ 82.33/82.25
3.2
ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง
ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 17 คน พบว่า
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเนินวิทยา ในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.35 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยที่ตั้งไว้