ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5 (กระดาษไทยอนุเคราะห์)
ผู้วิจัย สันติ พันธ์พุฒ
ปีการศึกษา 2567
วันที่เผยแพร่ 28 กรกฎาคม 2568
บทคัดย่อ
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์)
ชื่อผู้วิจัย สันติ
พันธ์พุฒ
ปีที่ศึกษา 2567
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบ การนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
โรงเรียนเทศบาล 5 (กระดาษไทยอนุเคราะห์)
2) เพื่อสร้างรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์) 3)
เพื่อทดลองใช้รูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์) 4) เพื่อประเมินผลและถอดบทเรียนรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูโรงเรียนเทศบาล 5 (กระดาษไทยอนุเคราะห์)
จำนวน 36 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ตารางของ
Krejcie & Morgan (1970 : 607) จากการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 169 คน
เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ รูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
แบบทดสอบ สังเกตพฤติกรรมการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนของครู
แบบประเมินความสามารถในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน แบบประเมินความสามารถในการทำโครงงานของนักเรียน
แบบสอบถามความพึงพอใจ และการถอดบทเรียน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ
ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t – test (dependent) การวิเคราะห์เนื้อหา และการถอดบทเรียนผลการวิจัยพบว่า
1.
วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ควรมุ่งการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียนของครูเป็นประเด็นที่สำคัญมากในการพัฒนาครูให้สามารถพัฒนาตนเองและการจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพมากขึ้น
ผ่านการวิจัยที่มาจากปัญหาจริงในห้องเรียน โดยมีการนิเทศเป็นกลไกสนับสนุนให้ครูมีสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียนของครูในการวางแผน
ดำเนินการ และประเมินผลการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนในบริบทจริงของตนเอง
2. สร้างรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์) ใช้รูปแบบ “SCIPA
Model” ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้ 1) Supervision : S การนิเทศแบบสังเกตการสอน
เป็นการเข้าไปสังเกตการสอนอย่างไม่เป็นทางการ
ไม่เฉพาะเจาะจงจุดใดจุดหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่ต้องมีการบอกล่วงหน้า 2)
Classifying : C การวางแผนในแบ่งหมวดหมู่ครู การคัดกรองระดับความรู้
ความสามารถ ทักษะที่สำคัญเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้และการวิจัยในชั้นเรียน เพื่อจัดกลุ่มครู
และเลือกวิธีการนิเทศที่เหมาะสมกับกลุ่มครูแต่ละกลุ่ม 3) Informing : I การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ
เกี่ยวกับการนิเทศการวิจัยในชั้นเรียน
เทคนิควิธีสอนที่สอดคล้องกับความต้องการและปัญหาให้แก่ครู 4) Proceeding :
P การดำเนินงาน ประกอบด้วย 3 ขั้น (1) การประชุมก่อนการสังเกตการสอน
(Pre-Conference) (2) การสังเกตการสอน (Observation) (3) การประชุมหลังการสังเกตการสอน (Post- Conference) และ 5) Assessing : A การประเมินผลการนิเทศ
โดยมีการกำกับ ติดตาม (Monitoring) ทุกขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินการนิเทศเกิดประสิทธิภาพ
3. ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์) โดยเปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังอบรม การนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน (สำหรับครู) มีคะแนนก่อนการอบรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ
7.33 และหลังการอบรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ
16.86
และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการอบรม พบว่า มีความต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 เมื่อพิจารณาพบว่า คะแนนหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม
4. ประเมินผลและถอดบทเรียนรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนเทศบาล 5
(กระดาษไทยอนุเคราะห์)
4.1 ผลการสังเกตพฤติกรรมการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนของครู
จากการสังเกตพฤติกรรมการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียน
ครูสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนของตนเองได้เป็นอย่างดี
เพราะมีขั้นตอนของการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน มีการให้ความช่วยเหลือและให้กำลังใจตลอดเวลา ให้ความรู้ อธิบาย ชี้แจง และร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ
ให้แก่ครู ทำให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งมีบางเรื่องที่ผู้วิจัยได้เข้าไปช่วยเหลือ
แนะนำ จากข้อมูลดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจที่ครูมีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้น
มีความสามารถในการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียน
พัฒนาการจัดการเรียนรู้ของครูและผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้สูงขึ้น รวมทั้งพัฒนาวิชาชีพของตนเองอีกด้วย
4.2 ประเมินความสามารถในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนของครู
พบว่า ครูมีความสามารถในการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนของครู อยู่ในระดับมาก
4.3 ประเมินความสามารถในการทำโครงงานของนักเรียน
พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการทำโครงงานอยู่ในระดับมาก
4.4 ประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยใน ชั้นเรียนของครู พบว่า ครูมีความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก
4.5 ประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยใน ชั้นเรียนของครู พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก
4.5 การถอดบทเรียน จากการสนทนากลุ่ม
ด้านองค์ประกอบรูปแบบ พบว่า ครูผู้ร่วมสนทนากลุ่มให้ความคิดเห็นว่า
องค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยใน ชั้นเรียนของครู
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
ทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องซึ่งกันและกัน กระบวนการนิเทศ SCIPA Model ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเป็นกระบวนการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาที่มีขั้นตอนเริ่มจากการนิเทศเพื่อให้ทราบถึงปัญหาของครูที่จัดการเรียนการสอน
จนถึงการแบ่งกลุ่มเพื่อเลือกแนวทางแก้ไขปัญหาเป็นกระบวนการที่มีประโยชน์
เป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กันของแต่ละขั้นตอน
ทำให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านการพัฒนางานและองค์ความรู้