ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๖๙ (คลองหลวง)
ผู้วิจัย นางวรชาดา ปัทมทัตตานนท์
ปีการศึกษา 2566
วันที่เผยแพร่ 5 กันยายน 2568
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม
ด้วยกลยุทธ์ตามแนวคิดศาสตร์พระราชาสู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน
โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๖๙ (คลองหลวง) มีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สนับสนุนการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ
(PLC) เพื่อศึกษาการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ
(PLC) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของครูต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
(Active
Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน
เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียน ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
และผู้ปกครอง ที่มีผลต่อความสำเร็จรางวัลพระราชทาน โดยวิธีคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
โดยแยกกลุ่มเป้าหมาย คือ ครู จำนวน 35 คน นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 82 คน
และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 166 คน รวมจำนวนนักเรียนทั้งหมด 248
คน ผู้ปกครองนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 82 คน และผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1-3 จำนวน 166 คน รวมจำนวนผู้ปกครองนักเรียนทั้งหมด 248 คน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม
ด้วยกลยุทธ์ ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา
สนับสนุนการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
จำนวนคำถาม
รวมเป็น 25 ข้อ 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
(Active Learning) มีจำนวนคำถาม
รวมเป็น 30 ข้อ 3) แบบสอบถามเกี่ยวกับการเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของครูต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
(Active Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน มีจำนวนคำตอบ รวมเป็น 20 ข้อ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน ครู
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครองที่มีผลต่อความสำเร็จรางวัลพระราชทาน จำนวน 14 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย
การหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยวิธีหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha
Coefficient) ตามวิธี ครอนบาค (Cronbach)
สถิติค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D) และการทดสอบ ค่าที (T-test dependent)
การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างหนึ่งกลุ่ม
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการวิเคราะห์การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกลยุทธ์ ตามแนวคิดศาสตร์พระราชา สนับสนุนการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.59 S.D. = 0.49) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย คือ การมีส่วนร่วมตัดสินใจ (X = 4.63 S.D. =0.48) รองลงมามี 2 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากัน คือ การมีส่วนร่วมรับรู้ปัญหา และ
การมีส่วนร่วมดำเนินงาน (X = 4.60 S.D. =0.49) รองลงมา คือ การมีส่วนร่วมคิดร่วมวางแผน (X = 4.58 S.D. = 0.49.) ตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐาน
ข้อที่ 1
2. ผลการวิเคราะห์การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.59 S.D. = 0.49) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด เรียงลำดับจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย คือ ชุมชนกัลยามิตร (X = 4.63 S.D. =0.48) รองลงมา คือ การมีวิสัยทัศน์ร่วม และค่านิยมร่วมกัน (X = 4.61 S.D. =0.49) รองลงมา คือ โครงสร้างสนับสนุนชุมชน
(X = 4.60 S.D. = 0.49) ตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2
3. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติงานของครูต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน
พบว่า
ก่อนการวิจัย มีค่าเฉลี่ย (X)
เท่ากับ 3.37 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.48 และหลังการวิจัยมีค่าเฉลี่ย (X) เท่ากับ 4.64 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.48 เมื่อพิจารณาเป็นด้านของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
(Active
Learning) สู่ความสำเร็จรางวัลพระราชทาน ก่อนและหลังการวิจัย
พบว่า หลังการวิจัยสูงกว่าก่อนการวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05 เป็นไปตามสมมติฐานข้อ 3
4. ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของผู้เรียน
ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้ปกครอง
ที่มีผลต่อความสำเร็จรางวัลพระราชทาน ในภาพรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย
(X) เท่ากับ 4.66 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.47 เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 4